กี่หมัดก็ม้ายยยเจ็บ คราวหนึ่งของชีวิตลูกผู้ชายไม่ว่าจะเคยผ่านตอนวัยศึกษาหรือโตมาแม้กระนั้น “การชก” นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราเติบโตขึ้นแล้วก็จำความกล้าหาญตอนนั้นๆของพวกเราได้ไม่มีลืม

กี่หมัดก็ม้ายยยเจ็บ เวลาผ่านไปเหมือนกับความเจ็บที่ไม่หลงเหลือ มีสิ่งหนึ่งที่เกิดฉุกคิดขึ้นมาได้ … ในสนามรบสุดรุนแรง หมัดแลกหมัด หัวเข่าแลกเปลี่ยนหัวเข่า หน้าแข้งแลกเปลี่ยนหน้าแข้ง แต่ว่าแปลกที่ในวินาทีนั้น การบาดเจ็บกลับไม่ปรากฏ แถมพวกเรายังเลือดร้อนมากกว่าเดิม

กี่หมัดก็ม้ายยยเจ็บ

จนถึงได้หลับสักตื่นนั่นแหละ ก็เลยได้ทราบว่าอาการ เจ็บ, มึน รวมทั้ง ปวด เป็นยังไง … ทั้งที่โดนต่อยในขณะนั้น เพราะเหตุไรร่างกายก็เลยไม่เคยรู้สึก ถ้าหากคุณสงสัย Main Stand มีคำตอบ มวย วันนี้

“มนุษย์ทุกคนถูกใจการต่อสู้โดยธรรมชาติเพราะเหตุว่ามันอยู่ใน DNA ของพวกเรา เช่นเดียวกับคุณเดินไปบนถนนหนทางเส้นหนึ่ง คุณหันขวาไปมองเห็นคนกำลังเล่นบอล คุณหันซ้าย คุณมองเห็นผู้คนกำลังแบ่งกลุ่มเล่นบาสเกตบอล แม้กระนั้นเมื่อคุณดูไปด้านหน้าคุณดันมองเห็นคนกำลังเริ่มจะมีเรื่องต่อยกัน เชื่อเถอะว่าดูเหมือนจะทุกคนชอบเลือกเดินเข้าไปเป็นอิสระยมุงดูการต่อสู้ทั้งหมดล่ะ”

นี่เป็นคำกล่าวของ ดาน่า ไวท์ ประธานของ Ultimate Fighting Championship (UFC) ที่มั่นใจว่าจะยากดีมีจนกระทั่ง ทุกคนล้วนมีความเป็นนักสู้อยู่ในตัวทั้งหมด

มนุษย์ทุกคนมี DNA ของการต่อสู้ทั้งหมด แล้วก็หัวข้อนี้มีคำตอบด้านวิทยาศาสตร์ ว่ากันว่าสัญชาตญาณที่กล้าแกร่งที่สุดของผู้คนเป็นสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด เนื่องจากกว่าที่มนุษยชาติจะมาถึงสมัยของ “มนุษย์เดี๋ยวนี้” หรือ Homo sapiens พวกเราผ่านระยะเวลาที่การต่อสู้กับสิ่งต่างๆมานานตั้งแต่กว่า 85 ล้านปีกลาย รวมทั้งตอนนี้ทุกชีวิตก็ยังจะต้องสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

การต่อสู้ที่ว่านี้มิได้เป็นการแลกหมัดกันเพียงอย่างเดียวเพียงแค่นั้น มนุษย์เอาชนะความหิวด้วยการกินและก็ขึ้นมาเป็นผู้อยู่เหนือสุดของบ่วงโซ่ของกิน พวกเราเอาชนะความหนาวเย็นด้วยไฟและก็เสื้อผ้า พวกเราเอาชนะโรคร้ายต่างๆด้วยวิทยาการรวมทั้งการเรียน พวกเราสู้ด้วยกำลังรวมทั้งมันสมอง โน่นทำให้มนุษย์ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้หากแม้มิได้เป็นเชื้อสายที่อดทนที่สุดในโลกนี้ก็ตาม … ไดโนเสาร์อดทนแม้กระนั้นสิ้นพันธุ์ ต่างกับมนุษย์ที่เอาชีวิตรอดมาได้ด้วยการต่อสู้และก็การปรับตัว อีทีใส่อาวุธครบ

มาถึงยุคนี้ โหมดของการต่อสู้แล้วก็เอาชีวิตรอดก็แบ่งย่อยเข้าไปอีกหลายกิ่งก้านสาขา รวมทั้งสิ่งที่ถือว่าเป็นการต่อสู้ที่ได้รับความนิยมก็คือการชกมวย กีฬาสายต่อสู้ที่อยู่คู่กับมนุษยชาติมาอย่างช้านาน

กี่หมัดก็ม้ายยยเจ็บ

พวกเราบางครั้งอาจจะมิได้ต่อยกันเพียงแค่ด้วยเหตุว่าความมีชัยบนสังเวียนพนันด้วยมนุษยชาติเช่นเดียวกับเรื่องราวต่อสู้รวมทั้งเอาชีวิตรอดของคนเราในสมัยอดีตกาล แม้กระนั้นมวยก็เป็นกีฬาที่บอกเจริญว่ามนุษย์ทุกคนนั้นตื่นตัวกับการต่อสู้เยอะขึ้นเรื่อยๆ มีพัฒนาการสำหรับการเตรียมการก่อนสู้ มีการคิดแผนอย่างมีเชิงชั้น แต่ทว่าบางโอกาสพวกเราก็หนี DNA มิได้ สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดจะเริ่มแสดงออกมาในในที่สุดเมื่อคุณกำลังจนตรอก

“พวกเราทุกคนล้วนมีแผนสำหรับการอยู่ในหัวทั้งหมด จนกว่าคุณโดนต่อยหน้าเข้าซักทีนั่นล่ะ สักครู่ทราบเลย” นี่เป็นคำกล่าวของ ไมค์ ไทสัน สมัยก่อนนักต่อยแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวตในตอนต้นสมัย 90s ที่บอกเล่าเรื่องราวในวันที่เขาตกลงใจกัดหูของ อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ ในไฟต์ชิงสายรัดเอวก่อนที่จะเขาจะโดนปรับแพ้เนื่องจากว่าทำผิดข้อตกลง แต่ไฟต์นั้นเมื่อปี 1997 ก็แปลงเป็นตำนานของโลกที่คนไหนกันแน่ก็จำเป็นต้องเคยได้ฟังมาบ้าง

สิ่งที่ไทสัน มานะจะบอกภายใต้การโดนปรับแพ้เป็น “เขาไม่ได้ตั้งใจ” ที่จะกัดหูผู้ใดกันแน่ เขาไม่เคยคิดเล่นนอกข้อตกลง กระทั่งเขาพบกับเหตุการณ์ที่ตนเองสู้ไม่ได้ โดนต่อยอยู่ฝ่ายเดียว … แล้วก็กำลังจะเป็นผู้แพ้

ในความเป็นจริงแล้วการโดนไล่ต่อยมันคงจะทำให้เขาเจ็บหรือปวด ออกอาการออกมาบ้าง ไม่โดนน็อกไปเลยก็คนดูแลโยนธงขาวยอมยกธงขาวไป แม้กระนั้นที่ ไทสัน เป็นเป็นเขาเลือดขึ้นหน้าไม่สนใจกรรมวิธีการอีกต่อไป ร่างกายจะเจ็บขนาดไหนเขาไร้อารมณ์ในจุดนั้น ขอเพียงแค่ได้ทำให้อีกข้างเจ็บ โน่นเป็นอย่างเดียวที่ไทสันคิดได้ เขาก็เลยกลับลงไปในสังเวียน ลืมทุกอาการภายหลังจากรับประทานหมัดของ โฮลีฟิลด์ ไปหลายดอก จนกระทั่งในที่สุดเขาฝ่าลมพายุหมัดแล้วก็เข้าไปกัดหูของ โฮลีฟิลด์ กระทั่งขาด …

“ผมกัดเขาเนื่องจากว่าผมต้องการจะฆ่าเขาให้ตาย ผมคลั่งที่ศีรษะของผมถูกชนบ่อย มันทำให้ผมหมดความทรหดอดทนกับการต่อย และไม่พอใจกลยุทธ์สู้รวมทั้งทุกสิ่งที่จัดแจงไว้อีกแล้ว” ไทสัน ว่าไว้

แม้ชี้แจงจากความรู้สึกของ ไมค์ ไทสัน รวมทั้งเอาความรู้สึกของเขาแทนความรู้สึกของคนเราจำนวนมาก พวกเราจะพบว่าไม่มีผู้ใดถูกใจที่เป็นข้างโดนโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวหรอก แม้กระทั่งคุณจะเกิดขึ้นมาไม่สู้คนขนาดไหน แม้กระนั้นในที่สุดแล้วหากคุณโดนใครบางคนต่อยหรือทำร้าย แม้ว่าคุณจะไม่สวนด้วยหมัดในวินาทีนั้น แต่ว่าร้อยทั้งยังร้อยด้านในจิตใจคุณย่อมต้องการจะรู้สึกเกลียดชัง และก็มองหาทางสักทางที่จะเอาชนะเขาให้ได้ หากแม้ไม่ใช่ในทางของการต่อสู้ก็ตาม

ประเด็นนี้มันฝังอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพศชาย ในวัยเด็กเราต่างต้องการมีพลังไว้จัดแจงคนพาล ราวกับในการ์ตูน เมื่อโตขึ้นพวกเราดูหนังสักเรื่องรวมทั้งมีฉากที่ตัวร้ายโดนผู้แสดงนำชายเอาคืน เช่นเรื่อง Taken หรือหนังชำระแค้นเรื่องอะไรก็ตาม พวกเราต่างมีความรู้สึกว่าเลือดลมสูบฉีดและก็หนำใจขึ้นมาแบบรู้สึกได้ … ถ้าหากคุณรู้สึกแบบนั้นควรทราบไว้เลยว่า DNA ความเป็นนักสู้ในตัวคุณกำลังถูกปลุกขึ้นมา

ทุกคนล้วนแล้วแต่กลัวและไม่ถูกใจความเจ็บทั้งหมด โน่นทำให้พวกเราใช้ความคิดคิดเสมอว่าจะไม่หาเรื่องหาราวทำให้ตนเองได้รับความเจ็บไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ว่าก็อย่างที่ ไทสัน บอกนั่นแหละ ทุกคนมีแผนในการจนกว่าหน้างานไม่ตรงกับเป้าหมายที่วางไว้นั่นแหละ สัญชาตญาณพวกเราจะถูกปลุกออกมา

เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบอาชีพ เป็นต้นว่า นักมวยสองคนต่อยกันบนเวที และก็ยังรวมทั้งการทะเลาะวิวาทแล้วก็มีเรื่องมีราวกันข้างทาง พวกเราจะไม่เหลือสิ่งใดให้กลัวอีกต่อไปเมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น

ผู้ใดกันที่เคยได้ได้โอกาสขึ้นสังเวียนบนเวที หรือบางทีก็อาจจะเคยมีเรื่องมีราวกับเพื่อนพ้องๆในยุคสมัยก่อนน่าจะเพียงพอจำความรู้สึกที่กล่าวไปในข้างต้นได้ เมื่อมีการปลดปล่อยหมัดแรก พวกเราแทบจะไม่พูดเรื่อยเปื่อยทำเพลง ว่ายเข้าใส่กันแบบชีพจรไม่เต้นในนาทีนั้นเช่นเดียวกับความรู้สึกกลัว, เจ็บ หรือ ปวด ไม่มีอีกต่อไป จนกว่าการต่อสู้จะจบลง

เหตุผลที่เป็นแบบนั้นเพราะเหตุว่าสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดในตัวเราอีกนั่นแหละ Shortboxing เว็บเกี่ยวกับมวยได้ชี้แจงในประเด็นบทความที่ว่า “นักมวยจัดการกับความเจ็บสำหรับการต่อสู้ได้เช่นไร ?”

พวกเขากล่าวว่า เพราะเหตุว่าการโต้ตอบของร่างกาย … เช่นในเวลาที่พวกเราจะโดนใครซักคนต่อยหน้า เสี้ยววินาทีนั้นกลีบตาของคุณจะปิดลง แขนทั้งสองข้างของคุณจะถูกเอาขึ้นมาเพื่อปัดป้องตามสัญชาตญาณ คอของคุณจะหดเพื่อรับแรงชน

เมื่อร่างกายได้ปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณก็ราวกับการคลายหนักเป็นค่อย จากที่จะโดนหมัดซัดเต็มหน้าจนกระทั่งหัวแกว่ง ขั้นต่ำคอที่หดรวมทั้งเกร็งก็ช่วยลดแรงชนที่ส่งตรงถึงสมองได้ จากจะโดนต่อยเข้าที่เข้าทางดวงตาจนถึงบอด ก็เปลี่ยนเป็นเพียงแค่ตาบวมปูดหรือบวมช้ำแค่นั้น สิ่งนี้เกิดขึ้นอัตโนมัติ มนุษย์ทุกคนมีเช่นกันหมด เพียงแค่เหล่านักมวยนั้นฝึกหัดจนถึงสามารถมีปฏิกิริยาที่เร็วกว่าคนธรรมดาทั่วไป

และก็นั่นเองแทนที่คุณจะเจ็บ คุณจะกลับมาตื่นเต้น หายใจถี่ขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น โน่นก็เป็นเนื่องจากว่าสารอะดรีนาลีนกำลังพุ่งพรวดถึงจุดสุดยอด รวมทั้งเมื่อเป็นแบบนั้นร่างกายจะลืมลักษณะของการเจ็บปวดนั้นไปครู่เดียว

ยิ่งกว่านั้นยังมีแนวความคิดเสริมจาก ดร. จิม เทย์เลอร์ ที่มหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก ที่เขียนเนื้อหาของบทความเอาไว้ในเว็บเกี่ยวกับจิตวิทยาที่ชื่อ Psychology Today กล่าวว่าในเหตุการณ์ที่เคร่งเคลียดถึงจุดสุดยอด ร่างกายของพวกเราจะข้างหลังสารทั้ง อะดรีนาลีน แล้วก็ เอ็นโดรฟีน เพื่อบล็อกสัญญาณความเจ็บ ให้พวกเราได้จัดแจงเหตุการณ์ข้างหน้าจนกระทั่งพวกเราจะไม่มีอันตราย รวมทั้งต่อจากนั้นสัญญาณความเจ็บก็จะตามมาในคราวหลังนั่นเอง