ฟลอยด์งงร้องจ๊าก เอ็มมานูเอล ออกัสตัส คือนักมวยที่ไม่เคยคว้าแชมป์โลกเลยแม้กระทั้งครั้งเดียว แต่ว่าบางครั้งเรื่องราวของคนบางบุคคลก็น่าดึงดูดได้ถึงแม้ไม่ต้องมีความสำเร็จประกัน
ฟลอยด์งงร้องจ๊าก ด้วยเหตุว่าเขาเป็นตำนานทีมีสีสันที่ฉูดฉาด จี๊ดจ๊าดอย่างที่สุด ยกตัวอย่างเช่นไม่เคยคิดจะเป็นนักมวยจนกว่าคิดว่าได้ต่อยคนโดยไม่ผิดกฎหมาย,ไม่เคยเรียนรู้สไตล์การต่อยของคนไหนกันแน่เนื่องจากขี้เกียจ หรือแม้กระทั่งไม่เคยหาผลสรุปให้ตนเองว่า “ผมต่อยสไตล์ไหน” แล้วก็สิ่งนี้ทำให้ ฟลอยด์ เมย์เวทคุณร์ จูเนียร์ ก็เลยยอมซูฮกเขาในฐานะคู่ต่อยสุนัขบเลข 1 ชั่วนิจนิรันดร์ของเขา
ลืมตามองโลกที่ ชิคาเก๋ เมือง อิลลินอยส์ แต่ก่อนมเขามีชื่อว่า เบอร์ตัน แต่ทว่าจากปัญหาด้านครอบครัวทำให้เขาได้เข้าไปอยู่กับครอบครัวอุปการะตั้งแต่ 3 ขวบ มวย วันนี้
แล้วก็ช่วงชีวิตวัยเด็กก็วุ่นวายอยู่กับการย้ายครอบครัวถิ่นที่อยู่อาศัยไปยังหลายที่ในขณะที่ หลุยเซียน่า,เท็กซัส และยังรวมไปถึง ซิดนีย์ ออสเตรเลีย จวบจนกระทั่งมาพอดีด้วยการอาศัยอยู่กับครอบครัวของเพื่อนพ้องที่ บาตัน โร้ก หลยุส์เซียน่าในตอนท้าย
ถึงแม้เรื่องที่อยู่จะพอดีเเต่ก็โตมาแบบนักเลงข้างถนนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ เนื่องจากที่หลุยส์เซียน่า จัดว่าเป็นเมืองที่มีอัตราก่ออาชญบาปสูงมากมายทั้งยัง ปล้น ฆ่า ข่มขืน ติดอันดับมากมายที่ในสหรัฐอเมริกาเลยด้วย หากว่าพวกเราจะอ้างกันว่าจะดีจะร้ายนั้นขึ้นกับตัวบุคคล แต่ที่จริงจริงนั้นสิ่งแวดล้อมพร้อมจะพาให้คนเดินทางไม่ถูกได้ตลอดเวลา แม้ผู้ใดคนนั้นไม่อดทนพอเพียง แล้วก็ ออกัสตัน ก็เป็นแบบนั้น
“ผมเป็นคนขี้หงุดหงิดแล้วก็ขี้โมโหด้วย เพราะทั้งชีวิตผมพบแม้กระนั้นคนพูดเท็จใส่ตลอดเวลา ผมเเทบไม่เคยพบความสุจริตใจจากคนไหนจนถึงอายุ 20 ปี ตลอดเวลาวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว ถูกพรากจากพ่อแม่ ย้ายจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่ง”
เมื่อเลือกเดินทางสายนี้ปัญหาก็ตามมา การถูกจับเขาสถานที่พิจารณาหรือโรงเรียนดัดสันดานก็เลยเป็นของคู่กันกับชีวิตของเขา แม้กระนั้นเมื่ออายุได้ 17 ปี ราวกับว่า จะรู้สึกตัวว่าชีวิตของการเป็นเยาวชนใกล้จะหมดลงแล้ว ถ้าหากเขาทำผิดพลาดอีก ถัดจากนี้จะเป็นเรือนจำจริงๆไม่ใช่สถานพินิจอีกเเล้ว ด้วยเหตุนี้เขาก็เลยเริ่มทำอะไรสักอย่างที่เหมาะกับตนเองที่สุด และก็เขาคิดเองเอ้อเองว่า “ไปชกมวยดีกว่า”
“ในตอนนั้นรู้สึกผมจะยังอยู่กับย่า และมีความรู้สึกว่าจะต้องหาอะไรทำบ้าง เพราะว่าไม่ต้องการเป็นพ่อค้ายาหรือกลับไปนอนเรือนจำอีกเเล้ว”
“ผมมันพวกนอกคอก แล้วก็บังเอิญได้ไปทดลองฝึกฝนชกมวยมองต่อจากนั้นผมก็ปิ๊งไอเดียเลย นี่มันเป็นการต่อสู้ที่พวกเราซัดหน้าผู้ใดก็ได้โดยไม่ต้องเข้าตารางนี่หว่า”
ฟลอยด์งงร้องจ๊าก การฉุกคิดนั้นเริ่มทำให้เขาก้าวเข้าสู่แวดวงมวยสมัครเล่น มันทำให้เขาได้ต่อยคนจริงๆนั่นแหละ แต่ว่ามันไม่ตอบปัญหาเท่าไรนัก ด้วยเหตุว่ามวยสากลสมัครเล่นจะต้องใส่เฮดการ์ดแล้วก็มีกฎยิบย่อยสารพัน ทั้งยังยังทำเงินได้น้อยอีกต่างหาก ด้วยเหตุดัง กล่าวเขาก็ เลยจับใจ ความเอาเองอย่างเห็นได้ชัดว่า “มันน่าระอา” เปิดกรุนาฬิกาหรู
ดังนั้นเขาก็เลยใช้เวลาในระดับสมัครเล่นเพียง 27 ไฟต์ ซึ่งน้อยอยู่ดีๆถ้าเกิดเทียบ กับนักมวยสุดยอดที่เทิร์นโปรเข้าระบบอาชีพผู้อื่น แต่ว่าก็นั่นแหละถ้าเกิดเหมือนใครก็คงจะไม่ใช่เขา ซึ่งเมื่อไปสู่การเป็นมืออาชีพเเล้ว เส้นทางนักมวยของ สุดขีดยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อเข้ามาสู่ระบบอาชีพ ออสกัสตัส ถือเป็นความ แตกต่างกับ นักมวยผู้อื่นในทางแนวทางคิด ปกติเเล้ว นักมวยทั่วๆไปชอบหาทางไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยกระทั่งจะได้ก้าวขึ้นไปเป็นตำแหน่งผู้ท้าแข่งในรุ่นน้ำหนักของตัวเอง แต่ นั้นเลือกทางระยะสั้น โน่นเป็น การต่อยมวย แบบไม่ไต่ขั้นบันได
เขาเซ็นสัญญากับโปรโมเตอร์ผู้จัดศึก Tuesday Night Fights รวมทั้ง Friday Night Fights ของช่อง ESPN ซึ่งถ้าหากจะเทียบให้เห็นภาพอาจเสมือนมวยไทยศึกต่างๆ ที่ถ่ายทอดสด ผ่านโทรทัศน์ ทุกสัปดาห์นั่นแหละ
หน้าที่ ในเวลานั้นเป็นการเป็นมวยคู่สแตนบายด์ของรายการ เขามีต่อยทุกอาทิตย์สุดแต่ว่าคนใดกันจะเป็นคู่ต่อยของเขา ซึ่งไม่เคยเกี่ยงอยู่แล้ว เขามาเพื่อสู้รวมทั้งเอาเงินกลับบ้านไป กล้วยๆเท่านั้น เขาเคยรู้ข่าวว่าจำต้องไปบินไปต่อยที่เดนมาร์กกับ โซเรน ชอนเดอร์การ์ด โดยรู้ข่าวว่าจำเป็นจะต้องไปต่อยก่อนวันจริงแค่ 3 วัน… ไม่ว่าจะตำแหน่งมวยแทนหรืออะไรเขาเต็มใจรับทุกกรณีขอเพียงแค่ได้ ต่อยระบายอารมณ์ ก็เพียงพอ ซึ่งเรื่องนี้มันสอดคล้องกับอุปนิสัย เขาตั้งแต่ยังเด็ก อย่างชัดเจน
แฟรงกี้ คารูโซ่ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ เบตัน รูช ที่เปิดค่ายซ้อมมวยสำหรับเด็กในเมืองที่พึงพอใจ ต้องการจะเรียน เล่าถึงประสบการณ์ การรู้จักกับ ว่ามวยเป็นวัสดุระบายความ อัดอั้นตันใจ ของเขาตลอดมา และก็โน่นทำให้เขาเผลอไผลมันจนถึงต้องการ จะขึ้นเวที ให้บ่อยมาก ที่สุดเท่าที่เป็นได้
การสู้ทุกคนที่ขวางทางโดยใช้จิตใต้สำนึกมากกว่าแท็คติกทำให้ นับว่าเป็น “มวยมันวันศุกร์” ของช่อง ESPN อย่างแท้จริง เขาขึ้นชกได้ไม่นานก็มีคู่รักคลับติดตามเยอะพอควร และก็ได้สมญานามว่า “ดราก้อน มาสเตอร์” โดยมีต้นเหตุจากการเปรียบเทียบกับความ อาจหาญที่ ไม่เคยกลัวคนไหน กันพร้อมซัดกับ ทุกคนขอเพียง แค่อยู่ในรุ่นน้ำหนัก เดียวกัน
ฉะนั้นสถิตินักต่อยของเขาก็เลยไม่ค่อยดีนัก ในตอน 11 ไฟต์แรกของเขาในฐานะอาชีพ แพ้ถึง 4 ครั้ง ซึ่งธรรมดาแล้วนักมวยที่จะไประดับแชมป์โลกชอบไม่พลาดในตอนต้นๆด้วยเหตุว่าการวางแผนการต่อยแต่ละไฟต์นั้นละเอียดมาก
พวกเขาจะขึ้นสังเวียนก็เมื่อเป็นข้างเหนือกว่า และก็มีคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อจนถึงได้โอกาสชนะมากยิ่งกว่าเสมอ ระหว่างที่ หามน้ำหนักแล้วก็พบกับมวยกระดูกทั้งยังในวันที่เขายังเป็นเพียงแค่มือใหม่
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น เขาแพ้สลับชนะจนถึงดูแล้วน่าถูกจัดเอาไว้ภายในระดับนักมวยท้ายแถวถ้าหากเทียบเคียงตามสถิติ แต่ว่าใครๆที่รู้จักเเละเคยขึ้นเวทีเดีชูวับเขาต่างบอกเป็นคำเดียวกันว่า
ฟลอยด์งงร้องจ๊าก นี่เป็นนักสู้ที่คาดเดายากที่สุด ไม่มีวิธีการที่กระจ่างแจ้ง ต่อยตามใบสั่งของหัวใจ แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้ามากยิ่งกว่าการวางแผนซ้อม นั่นเป็นสิ่งที่เขาเป็นและไม่มีผู้ใดถูกใจนักถ้าเกิดจะต้องดวลกับนักมวยสายหมัดเมาอย่างเขา
จาก Dragon Master ใน ESPN ได้รับการเปลี่ยนสมญานามใหม่ว่า Drunken Master ด้วยเหตุว่าสไตล์ที่คาดคะเนมิได้โดยเขาเปิดเผยว่าได้อิทธิพลมาจากการเล่นวีดีโอเกม Tekken ซึ่งเป็นเกมที่มีนักสู้หลายสไตล์ต่างๆนาๆ ไฟต์ไหนต้องการจะสไตล์ใด เขาก็จะไปเล่นเกมเเล้วจำมาใช้ต่อยบนเวทีจริง โดยไม่สนใจเลยว่าคู่ต่อยจะเป็นคนไหนกัน
“เขาไม่เคยศึกษาคู่ต่อสู้เขาของเลยสักหนึ่งครั้งผมสาบานได้เลย ชีวิตตอนนั้นเขายุ่งอยู่กับการเล่นเกม Tekken เขาติดมันติดเป็นนิสัยเลย รวมทั้งโน่นทำให้เขามีสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร เกมนี่แหละที่เป็นแรงจูงใจผ่านการต่อยของเขาบนเวทีจริง” แอลเจ มอร์แวนท์ เพื่อนสนิทของ ว่าไว้
“เมื่อไม่เคยรู้ใครเขาก็เลยพร้อมขึ้นสู้กับทุกคน จะบอกให้ขณะที่เขาโดนทาบทามให้ขึ้นชกกับ เมย์เวทคุณรื จูเนียร์ และก็ มิคกี้ วอร์ด นั้นเขาไม่รู้เรื่องด้วยว่า 2 คนนี้เก่งเพียงใด สำหรับผมแล้วมันตลกขบขันมากมาย ด้วยเหตุว่าในเวลาที่นักต่อยส่วนมากมานะหาสไตล์ที่ยอดเยี่ยมให้ตนเอง ไอ้หมอนี่กลับเรียนชกมวยจากวีดีโอเกม”
“ทุกคนทราบหมดว่า เป็นใคร นอกจากเขานี่แหละ ผมยังนึกออกดีเลยวันที่เขากำลังจะขึ้นชกกับ เขากล่าวว่า ‘เอ้อ วันศุกร์นี้เราจะขึ้นชกว่ะ’ ผมก็ถามต่อ ‘แกขึ้นชกกับคนไหน?’ …. เชื่อไหมคำตอบที่ผมได้รับเป็น ‘ไม่รู้เรื่องว่ะ ใครบางคนนี้แหละ”
ความจริงเป็นในไฟต์ระหว่างกับ นั้นเป็นการต่อยในปี 2000 ใน ในเวลานั้น ฟลอยด์ ถือว่าโหดจัดมาตั้งแต่วัยรุ่น ถือเข็มขัดเเชมป์โลกรุ่น เฟคุณร์เวต 7 ยุค ในขณะที่ นั้นอย่างที่รู้กันดี นอกจากแฟนๆแล้วก็สไตล์ที่มันตื่นเต้นเดินหน้าสิ่งเดียวเเล้ว เขาไม่เคยตะพายเข็มขัดเเชมป์โลกเลยสักครั้ง
และก็ในไฟต์นั้น ราวกับถูกเรียกไปให้ ฝึกมือมากยิ่งกว่า เพราะว่าการต่อยที่ ดีทรอยต์ มิชิแกน ในวันนั้นไม่มีพนันเเชมป์โลก นั่นหมายความว่าต่อให้ จะชนะ เขาก็จะไม่ได้สามารถไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้อยู่ดี
ธรรมดาเเล้วไม่ค่อยมีใครรับข้อเสนอแบบนี้ เนื่องจากว่าเสมือนไม่เจ็บตัวฟรีแถมไม่มีพนัน แต่ว่าสำหรับ แล้วเขาเพียงแค่ตอบตกลงโดยไม่คิดหน้าคิดข้างหลังทุกสิ่งก็จบลงอย่างเร็ว ได้ค่าตัวไป 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนได้ไป 20,000 ดอลลาร์ ห่างกันเกิน 10 เท่า
“ทั้งปวงที่ผมทำ เป็นเซ็นสัญญา ก่อนขึ้นสังเวียนและก็ฟังผลสรุป ผมมิได้เอาใจใส่อะไรเยอะมาก นี่ผมมิได้กวนหรือสบประมาทเหยียดคนไหนกันแน่หรอกนะ แต่ว่านี่มันเป็นการทำงานในแบบของผม ผมมิได้ต่อยมวยเพื่อธุรกิจ
ผมไม่เคยพึงพอใจ คู่ต่อยผม บางครั้งอาจจะถูกใจ เชือดคู่ต่อย ของเขากระทั่งละเอียดก่อนขึ้นเวที ซึ่งผมว่าในตอนนั้นเขาคงจะตรวจผมด้วยรวมทั้งคิดว่าไอ้นี่ทำไมมันห่วยจังวะ…จากสถิติของผมอะนะ”
กับผู้อื่นเขาบางที อาจจะเอาชนะได้ แต่ว่าไม่ใช่ กับอัจฉริยะ มวยบ็อกเซอร์อย่าง เมย์เวทคุณร์ แน่ๆดีมาก กว่ามากมาย ทั้งยังในด้าน ของพรสวรรค์รวมทั้งการเตรียมพร้อม ซึ่งมีการรีวิวไฟต์ในวันนั้นของ สู้อย่างมีระเบียบ ส่วนสู้แบบเลือดเข้าตา
“เมย์เวทเธอร์ เดินเข้าพบตั้งแต่ ไฟต์แรกปลดปล่อย หมัดใส่ หัวแล้วก็ตัวของ ออกัสตัส ได้จนเขาเซไปเลย .. เขาแพ้ความเร็วทันใจของ ฟลอยด์ ก่อนหมดยกแรก ยังไว้ลายเขาส่งยิ้มเพื่อเชื้อเชิญฟลอยด์ให้จัดเต็มในยกต่อไป” รีวิวไฟต์ส่วนหนึ่งว่าไว้
ในไฟต์นั้น มีเลือดออกที่จมูก ตาปิดข้างหนึ่ง แล้วก็เลือดไหลหูกระทั่งหมอสนามจะต้องเข้ามามองอาการ แม้กระนั้นเขาตะคอกว่า “หูกูธรรมดาดีโว้ย” แล้วก็ต่อยกันต่อรวมทั้งเขายังมานะจะใส่หนักให้ ฟลอยด์ ตลอดเวลา หากว่าเขาจะโดนซัดกระทั่งอาการแย่ก็ตาม”
สำหรับผม ฟลอยด์ เมย์เวทคุณร์ ก็เป็นนักต่อยที่ดีที่สุดเช่นเดียวกัน ผมไม่ชอบที่ต้องบอกแบบนี้นะ ผมไม่ได้คิดว่าเขาพิเศษอะไรกว่าผมหรอก หากย้อนเวลาไปได้อยากจะสู้กับเขาอีกสักหนึ่งครั้ง
ในรุ่นน้ำหนัก 140 ปอนด์
ถึงแม้เขาจะโหดรอบด้านทั้งยัง หมัดฮุก,ความเร็ว,ฟุตเวิร์ก รวมทั้งการป้องกัน รวมทั้งการต่อยแบบเคาน์เตอร์ด้วย” เขาเล่าที่ผ่านไปแล้ว แต่ข้อเท็จจริงเป็นเขาไม่เศร้าใจกับสิ่งที่เขาทำเลที่ตั้งยแม้แต่น้อย ถึงแม้มันจะมิได้ทำให้เขายิ่งใหญ่เสมือนใครๆก็ตาม
“ผมก็แค่ผู้ที่ถูกใจต่อสู้ เพียงแต่ขึ้นเขาเวทีรวมทั้งอุตสาหะเอาชนะ ผมไม่จำเป็นต้องมีแรงบันดาลใจอะไร เพราะว่าผมมีอยู่กับตัวตลอดเวลา ผมเป็นนักสู้และก็เกิดมาเพื่อสู้ และก็หากถูกตายผมก็จะตายแบบใส่นวมทั้งยัง 2 ข้าง จากนั้นผมจะมองดูย้อนกลับมาแล้วก็พึงใจกับการต่อสู้เพื่อบางสิ่งของตัวเอง”