ขอแชมป์คืน มาร์ติน เหงียน นักสู้ชาวเวียดนาม-ออสเตรเลีย ภายหลังถูกโค่นบัลลังก์แชมป์โลกวัน รุ่นเฟเธอร์เวต ไปอย่างบอบช้ำ 

ขอแชมป์คืน มาร์ติน เหงียน นักสู้ชาวเวียดนาม-ออสเตรเลีย ภายหลังถูกโค่นบัลลังก์แชมป์โลก วันรุ่นเฟเธอร์เวต ไปอย่างบอบช้ำ เขากลับมาอีกรอบพร้อมความฮึกเหิมเต็มที่ ประกาศเปิดศึกสายเลือด

เพื่อล้างตากับอริเก่า “ธานฮ์ เล” ชาวเวียดนาม-อเมริกัน หวังทวงคืนศักดิ์ศรีแชมป์โลก มาร์ตินเคยสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักศิลปะการต่อสู้แบบผสม รายแรกที่ครองแชมป์โลกวันสองรุ่น (เฟเธอร์เวต/ไลต์เวต) ในวันแชมเปียนชิพ

ถัดมาเขาสละบัลลังก์ รุ่นไลต์เวต เพื่อสู้ในรุ่นเฟเธอร์เวตเพียงอย่างเดียว โดยภายหลังที่สามารถป้องแชมป์ได้ถึง 3 ครั้ง เขากลับจำเป็นต้องผิดพลาดให้กับ “ธานฮ์ เล” โดยถูกน็อกหมดสภาพแบบไม่คาดคิด

ความแพ้พ่ายในคราวนั้นทำให้มาร์ติน เสียใจอย่างมาก โดยเขากลับไปเก็บเนื้อเก็บตัวรวมทั้งบินลัดฟ้าไปยังสหรัฐอมเริกาเพื่อพัฒนาความสามารถ โดยมุ่งหมายว่าจะได้กลับคืนสังเวียนและก็คว้าสิทธิ์ขึ้นไปท้าทายชิงชนะเลิศโลกคืนมา

จากอริเก่าปัจจุบันนี้เพื่อกู้เชื่อถือในตนเองแล้วก็ศักดิ์ศรีแชมป์โลกกลับมาอย่างรวดเร็ว “ผมมีความคิดว่าผมควรได้รับสิทธิ์รีแมตช์ท้าทายชิงในตอนนี้ ในฐานะที่ผมครองแชมป์อยู่ถึงสามปี สำหรับผม การรีแมตช์กับ ธานฮ์ เป็นเรื่องของการทวงคืนศักดิ์ศรี

ขอแชมป์คืน ถ้าเกิดเขามีความคิดว่าสามารถทำผลงานได้ดีมากว่า แม้กระนั้นผมว่าผมทำเป็นดีมากยิ่งกว่าเขาแน่” มวย วันนี้

ขอแชมป์คืน

จากผู้ย้ายที่อยู่สงครามเวียดนาม : มาร์ตินประกาศพลังความโหฬารบนเวทีโลก

ขอแชมป์คืน มาร์ตินนับเป็นนักกีฬา ที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดคนหนึ่งใน “บ้านแห่งศิลปะการต่อสู้” วันแชมเปียนชิพแม้กระนั้นคุณพ่อนักสู้ลูกสาม ชาวเวียดนาม-ออสเตรเลียคนนี้ จะต้องต่อสู้ทางชีวิตในฐานะผู้ย้ายที่อยู่หนีการสู้รบ

ซึ่งเรื่องราวของเขาจะเป็นแรงบันดลให้คนทั้งโลก ถึงจุดเริ่มที่ช้าแม้กระนั้นไม่สายเกินความจำเป็นที่จะคว้าการบรรลุเป้าหมายมาเป็นรางวัลให้กับตนเอง หนีสงครามในบ้านเกิด ครอบครัวของมาร์ติน เหงียนอาศัยอยู่ทางเวียดนามใต้

กระทั่งเมื่อการทำศึกเวียดนามเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ในปี พุทธศักราช 2513 ครอบครัวของเขารวมทั้งคนอื่นในบ้านใกล้เรือนเคียงใกล้เรือนเคียงก็เลยตกลงใจย้ายถิ่นเพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่ พวกเขาเดินทางไปยังประเทศมาเลเซียโดยทางน้ำ

รวมทั้งไปรวมกันตัวกันที่ค่ายย้ายถิ่นในอินโดนีเซีย ก่อนที่จะบินผ่านไปยังประเทศออสเตรเลีย และก็ตั้งหลักปักฐานที่เมืองหงส์แดง รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ผู้คนในพื้นที่กับผู้ที่พึ่งจะย้ายถิ่นมาใหม่รวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่และก็สร้างชุมชนขึ้นตรงนี้

เราไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ไม่ได้เป็นคุณลุงป้าน้าอา หรือลูกพี่ลูกน้องกันจริงๆแม้กระนั้นผมเชื่อถือพวกเขาเสมือนพี่น้อง เนื่องจากความสนิทสนมสนิทกัน ทำให้ชุมชนเกิดความแข็งแกร่งจนถึงทุกวันนี้”

ในวัยเด็กมาร์ติน เหงียนเห็นด้วยว่าเขามักก่อเรื่องที่บ้านและก็ในชั้นเรียนอยู่บ่อยมาก แต่ว่าความทะความสงบของเขาก็เริ่มลดลงเมื่อเขาเริ่มเล่นรักบี้ตอนอายุ 10 ปี แล้วก็ทำผลงานก้าวหน้าสำหรับการแข่ง จูเนียร์ รักบี้ คลับ รวมทั้ง เวสต์ แม็กพายส์ (การแข่งขันชิงชัยในระดับแคว้น)

แรงปรารถนาของชีวิต ช่วงวัยรุ่นตอนท้าย มาร์ตินเติบโตพ้นวัยสู่การเป็นผู้ใหญ่อย่างเร็ว เมื่อได้เจอกับ “บรูค” (ภรรยา) ก่อนวันเกิดครบรอบ 17 ปีไม่กี่วัน รวมทั้งต่อจากนั้นสามปีถัดมาในเดือนพฤษภาคม 2552 พวกเขาก็มีผู้เห็นเหตุการณ์รักคนแรก

“ที่ผ่านมาชีวิตผมมีแม้กระนั้นเพื่อนพ้องและก็การออกไปเที่ยวเตร่ด้านนอก แต่ว่าภายหลังจาก บรูค เข้ามาอยู่ในชีวิตผม เป็นผู้ที่ผมจะต้องดูแล การมีลูกทำให้ผมใส่ใจว่าผมควรเป็นผู้นำครอบครัว เลิกออกไปเที่ยว รวมทั้งทำทุกอย่างเพื่อลูกที่เกิดมา”

ต่อจากนั้นไม่นานก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญอีกรอบในชีวิต ภายหลังได้รับบาดเจ็บ เขาสูญเสียแรงใจถึงขนาดหันหลังให้การเล่นรักบี้ แล้วก็มีน้ำหนักเยอะขึ้นจนกระทั่งจำเป็นต้องเริ่มมองหากีฬาประเภทอื่นที่สามารถจะช่วยลดหุ่นส่วนเกินนี้ออกไปได้

มาร์ตินตกลงใจเรียนศิลปะการต่อสู้บราซิลเลียนยิวยิตสู ที่ เคเอ็มเอ ท็อป ทีม ในปี 2553 รวมทั้งได้รู้ว่านอกเหนือจากมันจะช่วยขจัดน้ำหนักส่วนเกินแล้ว ยังช่วยสร้างวินัยให้เขาในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม

ถึงแม้เขาจะเริ่มฝึกหัดศิลปะการต่อสู้ออกจะช้าเมื่ออายุ 21ปี แม้กระนั้นประสบการณ์ครั้งนี้ได้แปลงชีวิตของเขา ด้วยการจุดจิตวิญญาณนักแข่งขันให้หวนกลับมาอีกที เขาตกลงใจขึ้นชกการประลองการต่อสู้แบบผสม สมัครเล่น รวมทั้งคว้าแชมป์ 4 ไฟต์ต่อเนื่องกัน

เหนือคู่แข่งที่ตัวใหญ่มากยิ่งกว่า ก่อนที่จะสั่งสมการบรรลุผลเหมือนกันในปีต่อมา รวมทั้งตกลงใจก้าวสู่สังเวียนระดับอาชีพในปี 2555 สร้างประวัติศาสตร์การต่อสู้ มาร์ตินเขย่าวงการศิลปะการต่อสู้แบบประสมประสาน รุ่นเฟคุณร์เวต

ด้วยการครอบครองแชมป์ ออวเตียเลีย แบคซ์ ซึ่งเป็นการชิงชัยทัวร์นาเมนต์ 8 คน การบรรลุผลนั้นทำให้เขาได้เซ็นสัญญากับหน่วยงานศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกวันแชมเปียนชิพ ในปี2557 แล้วก็แปลงเป็นด้ามจับตามองอย่างรวดเร็ว

รวมทั้งเป็นนักสู้ที่มีความสะดุดตาที่สุดคนหนึ่งของออสเตรเลีย ความสำเร็จอันน่าทึ่งในตอน 5 ปีแรกของการเทิร์นโปร มีรอยด่างพร้อยเดียวจากความปราชัยที่มีต่อนักสู้จอมเก๋าชาวรัสเซีย “ค็อปบ้า” มารัต กาฟูรอฟ ซึ่งคราวนั้นเป็นการชิงชัยชิงชนะเลิศโลก ONE

เฉพาะกาล รุ่นเฟเธอร์เวต และก็เป็นไฟต์ลำดับที่สองของเขาในวันแชมเปียนชิพ โดยรู้สึกตัวล่วงหน้าแค่เพียงสองวันก่อนการประลอง มาร์ตินล้างตา มารัต และก็คว้าสายรัดเอวแชมป์โลกวัน มาครอง

อย่างไรก็แล้วแต่ หลังใช้เวลาขัดเกลาความถนัดแล้วก็สั่งสมความมีชัยร่วมสองปี มาร์ตินก็ได้รับจังหวะกู้ชื่อเสียงตนเองอีกทีในเดือนสิงหาคม 2560 ซึ่งเขาโชว์ความถนัดการปกป้องคุ้มครองดูดซึมมิชชันชั้นยอดเยี่ยมจากคู่ปรปักษ์เก่าได้อย่างเชี่ยวชาญ

ทั้งยังสามารถปิดเกมนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมฉุดกระชากสายรัดเอวแชมป์โลกวัน รุ่นเฟคุณร์เวตมาครอบครอง มันเป็นตอนๆในช่วงเวลาที่เขายินดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อภรรยาได้อยู่ใกล้เคียงตรงนั้นด้วย

“มันยอดไปเลย ภรรยาของผมก็อยู่ตรงนั้น รวมทั้งคุณก็อยู่บนเวทีกับผมในช่วงเวลาที่ผู้ตัดสินยกมือภายหลังจัดแจง กาฟูรอฟ ได้” เขาสร้างการบรรลุเป้าหมายอีกทีในสามเดือนถัดมา เมื่อผ่านไปสู้ในรุ่นที่ใหญ่ขึ้น แล้วก็ได้แชมป์โลกวัน รุ่นไลต์เวตมาจากไอคอน

ชาวฟิลิปปินส์ “แลนค์ไซส์” เอดูอาร์ด โฟลายัง แต่ว่าการบาดเจ็บบังคับให้เขาจำเป็นต้องปล่อยมือจากสายรัดเอวรุ่นนี้ แล้วก็หันมาสืบต่อการบรรลุเป้าหมายในรุ่นเฟเธอร์เวตโดยคุ้มครองปกป้องตำแหน่งไว้ได้ถึง 3 ครั้ง ก่อนที่จะย้ายไปขึ้นอยู่กับยิมใหม่ เฮด เคน็อค 365 ที่ฟลอริดา ประเทศอเมริกา ซึ่งเขาแน่ใจว่าจะรักษาสายรัดเอวเส้นนี้ไว้ได้อีกยาวนานหลายปี

“เหตุผลของการย้ายเป็นผมต้องการพาตนเองออกมาจากคอมฟอร์ตโซน เพื่อซ้อมให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าหากต้องการเป็นสิงห์ก็จำเป็นต้องฝึกหัดกับราชสีห์ ผมพาตนเองออกไปและไม่หันหลังกลับไปดูอีกเลย ผมมีความแน่ใจมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่กับความสามารถการยืนสู้ แม้กระนั้นในด้านความถนัดมวยปล้ำด้วยด้วยเหมือนกัน

มันราวกับมีคนไหนกันมาก่อกองไฟอยู่ข้างในตัวผม แล้วก็ผมพร้อมที่โชว์ความสามารถให้ทุกคนมองเห็น” หากว่า มาร์ตินจะเดินทางมาถึงจุดสุดยอด แม้กระนั้นเขายังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เขาอยากใช้การบรรลุเป้าหมายของตนเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนทั้งยังในเวียดนาม, ออสเตรเลีย

รวมทั้งทั่วทุกมุมโลก กำเนิดแรงผลักดันสำหรับเพื่อการเอาอย่างความฝันของพวกเขาให้สำเร็จ “ถ้าเกิดคุณอยากอะไรบ้างที่อยู่ในชีวิต คุณก็จำเป็นต้องทุ่มเทเพื่อสิ่งนั้น คุณจะต้องมีความเป็นจริงเป็นจัง กำหนดเป้าหมาย และก็ไปให้ถึง นี่เป็นสิ่งที่ผมต้องการส่งเสริมให้กับคลื่นลูกใหม่”

ขอแชมป์คืน “ศิลปะการต่อสู้ช่วยทำให้ผมมีวินัย รวมทั้งเห็นค่าของชีวิต ไม่เพียงแค่เฉพาะเรื่องการต่อสู้เพียงแค่นั้น แม้กระนั้นยังเห็นค่าของครอบครัว การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน การพบเจอผู้คนใหม่ๆผ่านการเดินทางที่สุดยอดและก็มีประสบการณ์ด้วยตัวเองจริงๆ” สภามวยโลก