สู่แชมป์โลก หากเอ๋ยถึงชื่อนักมวยปล้ำอย่าง คริสเตียน เคจ คุณอาจจะนึกภาพเขาไม่ค่อยออก ถ้าเกิดบอกว่าเป็นคู่แท็กทีมของ เอดจ์สตาร์มีชื่อเสียงของ ดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี 

สู่แชมป์โลก ถ้าหากเอ๋ยถึงชื่อนักมวยปล้ำอย่างคริสเตียน เคจ คุณอาจจะนึกภาพเขาไม่ค่อยออก แม้กระนั้นถ้าเกิดบอกว่าเป็นคู่แท็กทีมของ เอดจ์สตาร์มีชื่อเสียงของ ดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี คนอีกจำนวนไม่น้อยอาจจะรำลึกถึงเขาได้โดยทันที

ตลอดเวลานับเป็นเวลาหลายปี คริสเตียนเป็นนักมวยปล้ำที่ถูกมองข้ามมาตลอด เขาเป็นหนึ่งในนักสู้ที่ถูกอันเดอร์เรตที่สุดตลอดกาล หรือถูกมองความรู้ความเข้าใจน้อยกว่าความจริง เนื่องจากโดยความเป็นจริงแล้ว

คริสเตียนเป็นนักมวยปลุกปล้ำที่มีสมรรถนะระดับแชมป์โลก ไม่ได้มีความแตกต่างจากเอดจ์เพื่อนสนิทของเขาเลย ภายหลังจำต้องเลิกปล้ำในปี 2014 ด้วยการบาดเจ็บ คริสเตียนราวกับจะหมดโอกาสที่กำลังจะได้เป็นแชมป์โลกอย่างสมศักดิ์ศรี

แต่ว่าด้วยวัย 47ปี เขาหวนกลับสู่สังเวียนอีกรอบ และก็ได้รับช่องทางสำคัญ กับการประกาศศักดาว่า เขาก็เป็นนักมวยปล้ำระดับตำนานตัวจริงเสียงจริงของแวดวงนี้ คริสเตียนและก็ เอดจ์ ชื่อเต็มของคริสเตียน

คือ วิลเลียม เจสัน เรโซ เด็กหนุ่มจากประเทศแคนาดา ที่ตกหลุมรักกีฬาชกมวยปล้ำตั้งแต่วัยเด็ก และก็มีเพื่อนสนิทที่มีชื่อว่า อดัม ค็อปแลนด์ หรือที่ถัดมามีชื่อเสียงกันในฐานะนักมวยปล้ำนามว่าเอดจ์ เรโซ รวมทั้ง ค็อปแลนด์ เป็นมิตรแท้มาตั้งแต่ยุคประถม

ทั้งสองรักมวยปล้ำแบบเดียวกัน รวมทั้งเป็นแฟนเดนตายของกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งเช่นกัน พวกเขาเป็นผู้ชายตลกๆแม้กระนั้นเอาจริงเอาจังสำหรับการดำเนินงาน รวมทั้งต้องการจะเป็นนักมวยปลุกปล้ำอาชีพเช่นกันทั้งสอง

ในปี 1994 ด้วยวัย 21ปี วิลเลียม เรโซ เริ่มฝึกฝนมวยปล้ำอย่างเอาจริงเอาจัง สู่แชมป์โลก ไปพร้อมทั้งเพื่อนสนิทของเขา และก็เพียงแค่ 1 ปีต่อจากนั้น เขาก็เริ่มปล้ำมวยปล้ำอาชีพ ในชื่อของ “คริสเตียน ” ซึ่งปราศจากความหมายใดๆ

นอกเหนือจากเป็นการเอาชื่อนักแสดงสองคนมารวมกัน โน่นเป็นคริสเตียน สเลเตอร์ และก็ นิโคลัส เคจ คริสเตียนและก็ เอดจ์เดินทางไปปลุกปล้ำให้สโมสรอิสระอีกทั้งใน แคนาดา, สหรัฐอเมริกา รวมทั้งญี่ปุ่น ในฐานะคู่แท็กทีม

ตราบจนกระทั่ง เอดจ์เพื่อนรักของเขาได้เซ็นสัญญากับดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี ในปี 1997 ซึ่งคริสเตียนก็ได้ไปร่วมทดลองความสามารถในตอนนั้นด้วย แต่ว่าโชคร้ายที่ดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี ละเลยในตัวเขา และก็เลือกจะให้คำปฏิญาณกับเอดจ์เพียงผู้เดียวเพียงแค่นั้น

แต่นั่นไม่ได้ทำให้คริสเตียนรู้สึกน้อยใจ เขาทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อพิสูจน์ตัวเอง จนกลายเป็นสตาร์ดังของ อีซีดับเบิ๊ลยูเอ สมาคมมวยปล้ำอินดี้ในรัฐเดลาแวร์ของสหรัฐฯ บวกกับการได้ไปฝึกวิชากับตำนานนักมวยปล้ำ

อย่าง ดอร์รี่ ฟังค์ จูเนียร์ (ดอรี่ ฟังค์ เจอาร์.) ทำให้ ดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี ตัดสินใจหวนกลับมาเซ็นสัญญากับคริสเตียนในที่สุด คริสเตียนเปิดตัวที่ดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี ในฐานะพี่ชายของเอดจ์ และมีบทบาทร่วมกันมาตลอด

สู่แชมป์โลก จากช่วงแรกในฐานะศัตรู แปรผันสู่กิมมิกแวมไพร์กระหายเลือดในนามของ “เดอะ บูดร์” ก่อนจะกลายมาเป็นคู่แท็กทีมกัน และโด่งดังไปทั่วโลกในฐานะ “เอดจ์ แอนด์ คริสเตียน” มวย วันนี้

สู่แชมป์โลก

ตลอดเวลานับเป็นเวลาหลายปี คริสเตียนเป็นนักมวยปล้ำที่ถูกมองข้ามมาตลอด

สู่แชมป์โลก คริสเตียนและ เอดจ์ถึงจะเป็นนักมวยปล้ำหน้าใหม่ แต่ทั้งคู่มีความเป็นสตาร์ดังอยู่ในตัว ไม่ใช่แค่การคว้าแชมป์แท็กทีมหลายสมัย แต่รวมไปถึงการได้รับรางวัลจากสื่อมวยปล้ำที่ได้รับการยอมรับ

เช่น การได้รางวัลแมตช์ยอดเยี่ยมจากพีดับเบิ๊ลยูไอ ในปี 2000 และ 2001 รวมถึงรางวัลคู่แท็กทีมยอดเยี่ยมจาก วอนในปี 2000 ในเวลานั้น ไม่มีแท็กทีมคู่ไหนบนโลกที่จะมาทาบความยิ่งใหญ่ทั้งในและนอกสนามไปจากเอดจ์ และคริสเตียน ได้

อย่างไรก็ตาม การที่ทั้งสองคนโด่งดังเกินไป ก็นำมาซึ่งผลเสีย เพราะดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี คือสมาคมมวยปล้ำที่ไม่ให้ความสำคัญกับมวยปล้ำแบบแท็กทีม หากจะผลักดันให้เป็นซูเปอร์สตาร์ ก็ต้องแยกกันออกไปปล้ำเดี่ยว

ดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอีจึงทำการแตกทีมระหว่างเอดจ์ กับคริสเตียน ออกอย่างน่าเสียดาย ในช่วงกลางปี 2001 ซึ่งเป็นปกติของโลกมวยปล้ำ เมื่อมีการแยกทีมกัน ก็ต้องมีคนหนึ่งเป็นฝ่ายธรรมะและอีกคนเป็นฝ่ายอธรรม และดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี

ก็ตัดสินใจเลือกเอดจ์ให้เป็นธรรมะ ส่วนคริสเตียนกลายเป็นอธรรม เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า เหตุใดเอดจ์ต้องเป็นฝ่ายธรรมะ เพราะเขาตัวใหญ่กว่า หล่อกว่า และมีภาพลักษณ์ดีกว่าคริสเตียน ขณะที่สิ่งเดียวที่คริสเตียนทำได้ดีกว่าคือการปล้ำ

แต่สำหรับ วินซ์ แม็คแมน เจ้าของดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี เรื่องภาพลักษณ์มาก่อนฝีมือเสมอ คริสเตียนจึงต้องรับบทเป็นฝ่ายอธรรมผู้ขี้ขลาด ที่หักหลังน้องชายตัวเองเพราะความอิจฉา และบทบาทของทั้งสองคนก็สวนทางกันอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่เอดจ์กลายเป็นฝ่ายธรรมะขวัญใจผู้ชม คริสเตียนเป็นได้แค่นักมวยปล้ำสายฮาที่ไม่มีใครเชียร์ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครให้ความสำคัญ “ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เพราะเราคือ คริสเตียนเราเท่ากันมาตลอด

เราไม่เคยอยากให้ใครเด่นกว่าใคร ผมไม่ได้รู้สึกว่า ผมจำเป็นจะต้องเด่นกว่าเอดจ์” “ตอนนั้นผมทั้งกดดัน และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งพอเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น การจะทำอะไรมันก็ยากไปหมด” คริสเตียนย้อนเล่าถึงชีวิตช่วงที่เขาต้องแยกทีมกับเอดจ์

จนทำให้บทบาทของตัวเองตกต่ำลง ลาจากดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี เส้นทางนักมวยปล้ำของคริสเตียนหลงทางอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งปลายปี 2002 เขาได้รับบทให้ไปจับคู่กับ คริส เจอริโก้ อีกหนึ่งนักมวยปล้ำเพื่อนสนิทในชีวิตจริง

การได้กลับมาเป็นนักมวยปล้ำแบบแท็กทีม ทำให้คริสเตียนฉายแววเด่นของตัวเองออกมาได้อีกครั้ง สู่แชมป์โลก อีกทั้งคราวนี้ เขายังได้ทำงานกับหนึ่งในสุดยอดตลอดกาลอย่างคริส เจอริโก้ที่คอยช่วยเหลือคริสเตียนขึ้นมาเป็นนักมวยปล้ำอธรรมตัวแสบ

จนดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี มีความคิดที่จะผลักดันคริสเตียนเป็นครั้งแรก ตลอดปี2003 คริสเตียนกลายเป็นสตาร์ระดับกลางของดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี ที่คว้าแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัลอยู่หลายสมัย ก่อนจะได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ด้วยการชนะ คริส เจอริโก้ ในเรสเซิลมาเนียครั้งที่ 20 ณ เวลานั้น ใคร ๆ ก็เชื่อว่าคริสเตียนพร้อมแล้วกับการก้าวขึ้นเป็นนักมวยปล้ำฝ่ายอธรรมระดับแถวหน้าของสมาคม ยิ่งบวกกับการพัฒนาคาแร็กเตอร์ของเขา

จนกลายมาเป็น กัปตัน คาริสม่า นักมวยปล้ำที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ความโอหัง และมีฝีมือที่ยอดเยี่ยม พร้อมจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ทุกคน “คาแร็กเตอร์กัปตัน คาริสม่า ทำให้แฟนมวยปล้ำได้เห็นภาพที่ต่างออกไปของผม

ผมไม่ใช่คริสเตียนคนเดิมอีกแล้ว นี่คือคริสเตียนคนใหม่ คนที่เหมาะสมกับการเป็นแชมป์” คริสเตียนพูดถึงตัวตนใหม่ของเขา อย่างไรก็ตาม บทบาทของคริสเตียน ในฐานะกัปตัน คาริสม่า กลับแย่ลงเรื่อย ๆ ในขณะที่คาแร็กเตอร์ของเขามีทุกอย่างที่ควรค่ากับการถูกผลักดัน

ชุดเท่ เพลงเปิดตัวเท่ เป็นนักมวยปล้ำที่มีฝีมือ สามารถพูดออกไมค์ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมเสมอที่จะเป็นซูเปอร์สตาร์ของสมาคม ดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอีกลับเปลี่ยนให้คาแร็กเตอร์นี้ เป็นนักมวยปล้ำที่ดีแต่ภายนอก แต่แท้จริงแล้วโคตรไม่เก่ง

แพ้เป็นว่าเล่น ซึ่งทำให้คริสเตียนไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาเห็นศักยภาพในตัวเอง และเชื่อว่าควรได้รับการผลักดันมากกว่านี้ “ผมเห็นผลลัพธ์ที่คนดูให้กับผม แต่ทุกอย่างมันไม่มีอะไรเปลี่ยน (การผลักดันให้เป็นนักมวยปล้ำแถวหน้าของสมาคม)

ผมรู้สึกว่าไม่ว่าจะทุ่มเทมากแค่ไหน ทุกอย่างก็ไม่มีทางเปลี่ยน ดังนั้นถ้าอยากจะให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง ก็ต้องเริ่มที่ตัวผมเอง” คริสเตียนหมดสัญญากับดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี ในวันที่ 31 ตุลาคม ปี2005

สู่แชมป์โลก เขาเลือกที่จะปฏิเสธสัญญาก้อนโตจากดับเบิ๊ลยูดับเบิ๊ลยูอี เพราะต้องการหาโอกาสที่จะเป็นสตาร์ดัง และตัดสินใจย้ายไปอยู่กับค่ายมวยปล้ำหน้าใหม่โนเนม อย่างทีเอ็นเอ คาบิบขอเปรียบ